เมนู

อรรถกถาวัชชีปุตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระวัชชีบุตรเถระ เริ่มต้นว่า รุกฺขมูลคหนํ ปสกฺกิย.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 94 แต่
ภัทรกัปนี้ เห็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เดินไปเพื่อภิกษา เป็นผู้มีใจ
เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายผลกล้วย.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว
ไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นโอรสแห่งเจ้าลิจฉวี
ในเมืองเวสาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีสมัญญานามว่า วัชชีบุตร
เพราะความเป็นโอรสของเจ้าวัชชี. เขาเจริญเป็นหนุ่ม แม้ในเวลาศึกษาศิลปะ
มีศิลปะที่จะต้องศึกษาในเพราะช้างเป็นต้น ก็เป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในทาง
พ้นทุกข์ เพราะความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ ท่องเที่ยวไปในเวลาเป็นที่
ฟังพระธรรมเทศนา ไปสู่วิหาร นั่งอยู่ท้ายบริษัทฟังธรรม ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต
บวชในสำนักของพระศาสดา เจริญวิปัสสนาได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่
นานนัก. สมดังคาถาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระผู้มีพระภาค ผู้สยัมภู ผู้มีรัศมีนับด้วยพัน ไม่
พ่ายแพ้อะไร ๆ ออกจากวิเวกแล้ว ออกโคจรบิณฑบาต
เราถือผลไม้อยู่ได้เห็นแล้ว จึงได้เข้าไปหาพระนราสภ
เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ถวายผลไม้ในกัปที่
94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วย

การถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
การถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็ท่านเป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว ในเวลาต่อมา เมื่อพระศาสดาเสด็จ
ปรินิพพานได้ไม่นาน เมื่อพระมหาเถระทั้งหลาย ตั้งข้อสังเกตเพื่อจะสังคายนา
พระธรรมวินัย พักอยู่ในที่นั้น ๆ วันหนึ่ง ท่านเห็นพระอานนท์ ยังเป็นพระ-
เสขะอยู่นั่นแล อันบริษัทใหญ่แวดล้อมแล้ว แสดงธรรมอยู่ เมื่อจะยังความ
อุตสาหะให้เกิดแก่พระอานนท์นั้น เพื่อได้บรรลุมรรคชั้นสูง ๆ ขึ้นไป ได้กล่าว
คาถาว่า
ดูก่อนอานนท์ ผู้โคตมโคตร ท่านจงเข้าไปสู่ชัฎ
แห่งโคนไม้ จงหน่วงพระนิพพานไว้ในหทัย แล้วจง
เพ่งฌาน และอย่าประมาท การใส่ใจถึงประชุมชน
จักทำประโยชน์อะไรให้แก่ท่านได้
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุกฺขมูลคหนํ ได้แก่ ชัฏ คือ สุมทุม
พุ่มพฤกษ์ อันเป็นโคนไม้ อธิบายว่า สุมทุมพุ่มพฤกษ์มีอยู่ ไม่มีโคนไม้
และโคนไม้มีอยู่ (แต่) ไม่มีสุมทุมพุ่มพฤกษ์ ในสองอย่างนั้น พระเถระ
แสดงความไม่มีอันตรายด้วยลมและแดด เพราะความเป็นที่สมบูรณ์ด้วยร่มและ
เงา ด้วยศัพท์ว่า รุกขมูล แสดงความไม่มีอันตรายจากลม เพราะความเป็น
ที่อับลม และความไม่พลุกพล่านด้วยประชาชน ด้วยศัพท์ว่า คหนะ และ
แสดงถึงความเป็นสถานที่เหมาะแก่การเจริญภาวนา ด้วยศัพท์ทั้งสองนั้น.
บทว่า ปสกฺกิย แปลว่า เข้าไป.
บทว่า นิพฺพานํ หทยสฺมึ โอปิย ความว่า ตั้งพระนิพพานไว้ใน
หทัย คือทำไว้ในใจว่า เราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ พึงบรรลุพระนิพพานได้.

บทว่า ฌาย ความว่า จงเพ่งด้วยลักขณูปนิชฌาน คือ จงยังมรรค
ภาวนา อันประกอบด้วยวิปัสสนาภาวนาให้เจริญ พระเถระเรียกพระอานนท์
ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกด้วยโคตรว่า โคตมะ.
บทว่า มา จ ปมาโท ความว่า อย่าถึงความประมาทในอธิกุศล-
ธรรมทั้งหลาย พระเถระเมื่อจะแสดงโดยการห้ามความประมาทของพระ
(อานนท) เถระ เท่าที่เป็นไปในปัจจุบัน จึงกล่าวว่า กึ เต พิลิพิลิกา กริสฺสติ
(การใส่ใจถึงประชุมชน จักทำประโยชน์อะไรให้แก่ท่านได้ ดังนี้).
บทว่า พิลิพิลิกา ในบาทคาถานั้น ได้แก่กิริยาที่พิรี้พิไร พระเถระ
ได้ให้โอวาทว่า เสียงที่เป็นไปอย่างพิรี้พิไร ย่อมไร้ประโยชน์ฉันใด บัญญัติ
ของหมู่ชน อันเป็นเช่นกับการกระทำที่พิรี้พิไรก็ฉันนั้น จักทำประโยชน์อะไร
ให้แก่ท่านได้ คือจักยังประโยชน์เช่นไรให้สำเร็จแก่ท่าน เพราะเหตุนั้น
ผู้ขวนขวายในประโยชน์ของตน จึงต้องละบัญญัติของหมู่ชนเสีย.
พระอานนทเถระ ฟังคาถาอันเป็นโอวาทนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ
ด้วยอรรถพจน์ที่ระบายกลิ่นอันเป็นพิษที่คนเหล่าอื่นกล่าวไว้ออกไปได้ ยังเวลา
ให้ล่วงไปด้วยการเดินจงกรม ตลอดคืนยังรุ่ง ขวนขวายวิปัสสนา เข้าไปสู่
เสนาสนะ พอจะเอนตัวลงนอนบนเตียงเท่านั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัต.
จบอรรถกถาวัชชีปุตตเถรคาถา

10. อิสิทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอิสิทัตตเถระ


[257] ได้ยินว่า พระอิสิทัตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว ตัดราก
ขาดแล้ว ตั้งอยู่ ข้าพระองค์บรรลุถึงความสิ้นทุกข์แล้ว
บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว.

จบวรรคที่ 12
จบเอกนิบาต


อรรถกถาอิสิทัตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระอิสิทัตตเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺ-
ญาตา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่าง ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือน
แห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ถึงความ
เป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปในถนน มีใจ
เลื่อมใส ได้ถวายผลไม้มีกลิ่นหอม มีรสอร่อย.
ื ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวโลก กระทำบุญ แล้วท่อง
เที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของนาย
เกวียนคนหนึ่ง ในวัฑฒคาม แคว้นอวันตี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า
อิสิทัตตะ. เขาเจริญวัยแล้ว เป็นอทิฏฐสหายของจิตตคฤหบดี ในมัจฉิกาสัณฑ-